วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สาเหตุที่ทำให้เด็กสอบได้คณะที่ไม่ชอบ เกิดปัญหาเด็กซิ่ว



     ปัญหาที่ตามมาอีกประการคือเด็กสอบได้ แต่เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วเรียนไม่ได้ โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าสอบติดในคณะที่ไม่ชอบ ซึ่งอาจารย์อนุสรณ์กล่าวถึงที่มาว่า มีสาเหตุมาจาก 

สาเหตุแรก คือ  การออกแบบระบบการศึกษา แบบระบบสอบกลาง (Admission) เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทยนั้น ไม่มีการวางแผน ตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งมีเวลาเพียงพอให้เด็กเลือกเรียนในสิ่งที่ตรงกับความชอบ และความถนัด เป็นเป้าหมาย เช่น เด็ก ม.3 จะต้องรู้ว่าตนเองมีความถนัดในสาขาวิชาไหน และในอนาคตอยากทำสายอาชีพอะไร หรือเมื่อจบ ม.6 อยากศึกษาในคณะอะไร และมหาวิทยาลัยใด 

สาเหตุที่สอง คือ เด็กบางคนไม่รู้จักตนเอง หรือยังไม่ค้นพบตนเอง จึงเลือกที่จะตามกระแส หรือบางคนเห็นว่าตัวเองเป็นคนเรียนดีก็สอบเข้าศึกษาในคณะที่เป็นที่นิยมตามเพื่อนไป เช่น แพทยศาสตร์ แต่เมื่อเรียนเแพทย์ไปสักระยะก็เปลี่ยนความคิด ออกมาสอบคณะวิศวะ หรือในทางกลับกันเรียนวิศวะก็ออกมาเรียนแพทย์ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นเด็กเก่งจะเรียนอะไรก็ได้แต่ในวันที่เลือกนั้นยังไม่ค้นพบตนเอง
วันนี้กระแสของแพทย์มาเป็นอันดับ 1 ร้อยละ 80% เด็กเก่งมีความพร้อมสูง จะมุ่งไปที่การเรียนแพทย์เพราะเป็นอาชีพที่มีรายได้ดี ส่วนที่พุ่งเป้าไปที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ในปัจจุบันนั้นกระแสลดลง เป็นเพราะตลาดงานวิศวะเริ่มแคบ และจำกัด คนที่เก่งจริงจึงจะได้งาน ในขณะที่แพทย์เรียนจบไม่มีคำว่าตกงาน และยังเป็นอาชีพที่ขาดแคลนบุคลากรอยู่มาก ซึ่งมีสถิติและงานวิจัยชี้ว่า คณะที่มีเด็กซิ่วเป็นอันดับหนึ่ง คือ คณะวิทยาศาสตร์ เพราะเมื่อสอบเข้าแพทย์ไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ ก็จะย้อนกลับไปซิ่วใหม่เพื่อเรียนแพทย์ให้ได้

สาเหตุที่สาม คือ ผู้ปกครองเป็นผู้กำหนด สิ่งที่เด็กอยากเรียนกับสิ่งที่พ่อแม่อยากได้คนละเรื่องกัน จะพบในกรณีเช่น เด็กสอบเข้าวิศวะคะแนนดีได้เป็นเบอร์ต้นๆ ของคณะ แต่ในปีต่อมาก็ลาออก ซิ่วไปสอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ได้อันดับ 1 จนเรียนจบได้เกียรตินิยมเหรียญทอง ทราบที่มาว่าปีที่แล้วสอบให้พ่อแม่ ปีนี้จึงสอบที่ตัวเองอยากเรียน
หลักสูตรการเรียนการสอนในบ้านเราไม่มีการฝึกเด็กให้ใช้ดุลพินิจ วิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เด็กไปตามกระแส ก่อนหน้านี้คณะวิศวะดัง ปัจจุบันเป็นกระแสของแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องของวิชาชีพ รายได้ที่ดี และการยอมรับในสังคม สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กไม่ได้ค้นพบตัวเองว่าต้องการอะไร จึงเป็นหน้าที่ของระบบและครูที่ต้องแนะแนวให้เด็กมีความพร้อม เพื่อค้นพบตัวเองตั้งแต่ ม.3” อาจารย์อนุสรณ์กล่าว


กรณีศึกษาแอดมิชชั่นของประเทศอังกฤษ
อาจารย์อนุสรณ์กล่าวถึงโมเดลที่ประสบความสำเร็จ คือ ระบบกลางคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของประเทศอังกฤษ ซึ่งเด็กไม่ต้องสอบคัดเลือกใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นหน้าที่ของโรงเรียนระดับไฮสคูลที่จะต้องสอนและวัดผลการศึกษาของเด็ก ด้วยศักยภาพที่มีทำให้โรงเรียนที่มีคุณภาพในการสอนสูงจะมีการจัดอันดับ และยังสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า เมื่อถึงเวลาที่เด็กจะต้องทำข้อสอบส่วนกลางนั้นเด็กจะได้รับเกรดอะไร และโดยทั่วไปโรงเรียนที่มีคุณภาพในการสอนสูงจะได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับท็อป ซึ่งทุกอย่างชัดเจนด้วยสถิติ  ส่วนมหาวิทยาลัยนั้น จะมีบทบาทในการสอบแอดมิชชั่น โดยหลังจากผ่านขั้นตอนที่เด็กส่งประวัติ ที่ประกอบด้วยคะแนนของโรงเรียน คอมเมนต์ความประพฤติ ความเด่นในแต่ละวิชา และการร่วมกิจกรรมอาสาสมัคร ไปยื่นต่อมหาวิทยาลัยที่ต้องการจะเข้าเรียนต่อแล้ว มหาวิทยาลัยจะคัดเลือกจากข้อมูลแล้วเรียกสัมภาษณ์  ซึ่งที่อังกฤษจะให้ความสำคัญกับการสัมภาษณ์มาก และหากผลลัพธ์การสัมภาษณ์สรุปความเห็นว่าหน่วยก้านดีพูดจาโต้ตอบฉะฉาน มีไหวพริบก็จะตกลงรับ ดังนั้นแต้มต่อจะอยู่ที่การสอบสัมภาษณ์ ซึ่งมาจากโรงเรียนเกรดใด ไม่ใช่ประเด็นสำคัญประการแรก ที่ผ่านมามีเด็กไทยหลายคนผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยแล้วได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ออกซ์ฟอร์ด โดยเมื่อสัมภาษณ์เสร็จแล้วก่อนจะตกลงรับเข้าเรียน ต้องผ่านการสอบวัดผลข้อสอบกลาง ซึ่งมี 2 มาตรฐาน คือ ข้อสอบออกซ์บริดจ์ที่สอบโดยอาจารย์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ขึ้นอยู่กับแต่ละโซนของประเทศจะเลือก หากสอบได้เกรด A 3 ตัวก็จะได้รับเลือกให้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยทันที
สำหรับคนที่จะเรียนต่อแพทย์ ผลการเรียนด้านวิชาชีวะและวิชาเคมีต้องอยู่ในระดับ Excellence เด็กต้องมีการเรียนวิชาพื้นฐานหลักมาก่อน หรือคนที่เรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์ ต้องเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูง และได้คะแนนระดับเกรด A เด็กที่จะเรียนต่อทางด้านไหนจึงต้องมีการเตรียมตัวเรียนวิชาพื้นฐานสำหรับระดับมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเองจะเรียกสัมภาษณ์ โดยคัดเลือกจากประวัติ   รวมทั้งผลการเรียนที่สำคัญๆ แล้วเขียนเป็นเรียงความ ซึ่งเมื่อมหาวิทยาลัยได้ข้อมูลและผ่านการกลั่นกรองเป็นตัวหลักได้แล้ว เมื่อจะสอบเข้าคณะไหนก็ต้องสอบ SAT ที่ถือว่าเป็นมาตรฐานอย่างหนึ่งที่คนทั่วโลกยอมรับและนำส่งคะแนน SAT ไปที่ส่วนกลาง หลังจากนั้นจึงจะได้การตอบรับเข้าเรียนจากทางมหาวิทยาลัย ซึ่งโมเดลนี้มองว่าจะทำให้เด็กไม่เครียด และวางแผนพุ่งเป้าไปข้างหน้าได้
    ทั้งนี้ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องนำโมเดลของประเทศอังกฤษมาใช้ทั้ง 100% แต่อาจจะนำบางแนวทางมาปรับใช้ เพราะถ้าใช้ทั้งหมดอาจไม่เหมาะกับประเทศไทย แอดมิชชั่นของไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะไม่ได้เด็กตามคุณสมบัติที่ต้องการ จึงทำให้บางมหาวิทยาลัยมีการเปิดคัดเลือกเพิ่มเติมขึ้นมาเองด้วย
ระบบการศึกษาของประเทศไทย ที่เกิดจากความไม่ลงตัว การเหลื่อมล้ำของเวลากันในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และการเรียนนั้น ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของเด็กให้ด้อยลงไป เพราะนำไปสู่ปัญหาที่เมื่อเด็กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้แล้ว ก็เรียนไม่ได้ต้องออกมาซิ่ว ขณะที่คนที่มีความพร้อมสูงกว่าจะมีโอกาสในการเตรียมตัวได้ดีกว่า
ที่ผ่านมานั้น นโยบายทางการศึกษาในทุกสมัยของไทย ฝ่ายการเมืองเป็นผู้กำหนด และออกมาเป็นกึ่งๆ ประชานิยมด้วยแนวคิดที่บอกว่า ผู้เรียนประสงค์จะเรียนอะไรต้องได้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริหารต้องให้เด็กเรียนต่อทั้งๆ ที่เด็กเรียนต่อทางสายสามัญไม่ไหว จากผลผลิตนี้มาจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่า คนที่เรียนสายสามัญจนจบปริญญาตรีออกมาแล้วไม่มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนโดยรื้อการศึกษาใหม่ทั้งระบบ สำหรับกระทรวงศึกษาธิการ ในยุครัฐบาลนี้ที่มีอำนาจเต็มมือจึงไม่ใช่เรื่องยาก สามารถเปลี่ยนได้ทันที อาจารย์อนุสรณ์กล่าว





                       
ที่มา  http://m.manager.co.th/SpecialScoop/detail/9580000130145


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น