วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

10 อันดับคณะที่เด็กซิ่วออกเยอะที่สุด

  


          แต่ละปีของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย จะมีเด็กซิ่วกลับเข้ามาสอบแข่งขันอีกครั้ง อาจเป็นเพราะคณะที่เด็กซิ่วเรียนอยู่ยังไม่น่าพึงพอใจ จึงอยากลองสอบอีกครั้ง

     หมายเหตุ วิธีการวิเคราะห์    1 หน่วยของความถี่เท่ากับคน 20 คน  ฉะนั้น ถ้า 22 หน่วยก็เท่ากับว่ามีคนออกจากคณะนี้เท่ากับ 440 คน จะใกล้ความเป็นจริงที่สุด เรียงจากมากไปน้อย ในนี้มีบางรายไม่บอกว่าซิ่วจากไหนนะ ส่วนใหญ่ซิ่วออกจากคณะดังนี้

                                                                                                  ความถี่              %

ลำดับ 1  คณะวิทยาศาสตร์ (บริสุทธิ์ เคมี ชีวะ จุล)                  22 หน่วย            29.33  

          2. คณะเทคนิคการแพทย์ (ไม่รวมกายภาพบำบัด)         15 หน่วย            20.00

          3. คณะวิศวะกรรมศาสตร์                                            12 หน่วย            16.00  

          4. มนุษยศาสตร์                                                           5 หน่วย              6.67

          5. รัฐศาสตร์                                                                 4 หน่วย              5.33    

          6. บริหาร(บัญชี)                                                           4 หน่วย              5.33

          7. พยาบาล                                                                  4 หน่วย              5.33

          8. เภสัช                                                                       4 หน่วย              5.33

          9. นิเทศ                                                                      3 หน่วย              4.00  

        10.ศิลปะศาสตร์                                                             2 หน่วย              2.67

                                                                                     รวม 75 หน่วย              100 %

 

ซิ่วเพื่อเข้าคณะใหม่  ยอดนิยม ดังนี้

                                                                             ความถี่                        %

ลำดับ 1. คณะเภสัชศาสตร์                                     21 หน่วย                    21.64        

         2.คณะแพทยศาสตร์                                     14 หน่วย                    14.43      

         3.คณะวิศวกรรมศาสตร์                                  12 หน่วย                    12.37      

         4.คณะทัตแพทย์ศาสตร์                                 10 หน่วย                    10.30

         5.คณะวิทยาศาสตร์                                         9  หน่วย                    9.27        

         6. รัฐศาสตร์                                                   8  หน่วย                    8.27

         7. บริหาร(บัญชี)                                              7 หน่วย                     7.27    

         8. สัตวแพทย์ศาสตร์                                       6  หน่วย                    6.18

         9. คุรุศาสตร์(ศึกษา)                                        6 หน่วย                     6.18

       10. สถาปัตยกรรม                                             4 หน่วย                     4.12

                                                                   รวม  97 หน่วย                  100 %

                                      

           จำนวนคนทั่วประเทศที่ซิ่วโดยประมาณ 9,000-10,000 คน

 

 

อ้างอิงจาก เว็บไซต์เด็กดี

เรียบเรียงโดย มติชนออนไลนน์

 



                                                                ที่มา  http://www.unigang.com/Article/10434

เรียนคณะอะไร จบง่ายสุด/ จบยากที่สุด ซิ่วสูง !!


       ข้อมูลชุดนี้ได้มาจาก ม.เกษตรศาสตร์นะครับ ข้อมูลของแต่ละสถาบันอาจจะไม่เหมือนกันว่า 3 คณะไหนเมื่อเข้าศึกษาแล้วมีโอกาสที่จะสำเร็จการศึกษาสูงที่สุด !!
 1. คณะศึกษาศาสตร์       สำเร็จการศึกษา  94.23%
2. คณะเศรษฐศาสตร์      สำเร็จการศึกษา 90.51%
3.
 คณะบริหารธุรกิจครับ  สำเร็จการศึกษา 89.95%

      ต่อมาเข้าลองข้ามมาดูคณะ 3 อันดับแรกที่มีผู้สำเร็จการศึกษาน้อยที่สุดบ้าง
1. คณะวิทยาศาสตร์          สำเร็จการศึกษา  70.94%
2.
 คณะอุตสาหกรรมเกษตร สำเร็จการศึกษา 71.69%
3.
 คณะวิศวกรรมศาสตร์     สำเร็จการศึกษา  76.78
    สาเหตุที่ คนจบสายวิทย์น้อย ผมมองว่าอัตราการซิ่วไปเรียนคณะอื่นสูงนะครับ อาจจะยังหาตัวเองไม่พบ เรียนแล้วไม่ชอบเรียนยาก จริงไม่แปลกอะไรที่มีผู้สำเร็จการศึกษาน้อย ออกกลางทางสูง
โอกาสจบศึกษาศาสตร์สูงมาก  










                                                                         
ที่มา http://www.unigang.com/Article/18511

เหตุผลเจ็บจี๊ด ทำไมวัยรุ่น เรียน แล้วต้อง ซิ่ว!


     คณะที่ติดก็ไม่ใช่ คณะที่ใช่ก็ไม่ติด

 เหตุผลนี้มีหลากหลายที่มา แต่บทสรุปที่เหมือนกัน คือได้เรียนในคณะที่ไม่ใช่ เรียนไปแล้วมันไม่ใช่อะพี่ !! ให้ฝืนแค่ไหน ยังไงก็ไม่อยากเรียนอยู่ดี มันเป็นความทรมานลึกๆ?ที่เด็กซิ่วทั้งหลายไม่สามารถบอกใครได้ ถึงแม้ว่ามีที่เรียนแต่ก็ไม่มีความสุขอยู่ดี ?คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก? อยากจะออกจากที่นั่นไปทุกนาทีถ้าทำได้ แต่ด้วยความที่เราได้ที่นี่เราก็ต้องเรียน จะไม่เรียนก็ไม่ได้ครอบครัวจะว่ายังไง? จะถูกด่าว่าหยิ่ง ยโส ไม่ดูมันสมองตัวเอง หรือเปล่า และอีกหลายๆ คำที่ต้องทนเก็บไว้ สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแต่ทนเรียนต่อไป และอ่าน GAT PAT ไปด้วยเพื่อเตรียมสอบอีกครั้ง 


       เกียรติภูมิแห่งศักดิ์ศรี ฉันต้องเข้า มหาวิทยาลัยดีมีชื่อเสียง

 เหตุผลนี้สลับกับเหตุผลแรกเลยค่ะ คือว่าได้คณะที่คิดว่าโอเคแล้วแต่ว่า??ที่ฉันเลือก ต้องได้มหาวิทยาลัยที่ดีกว่านี้ซิ??ซึ่งที่มาของเหตุผลนี้ก็มีที่มาหลายอย่างนะคะ บางคนไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยนี้เพราะว่าอีกมหาวิทยาลัยมีการเรียนการสอนในคณะนี้ที่ดีกว่า หรือบางคนไม่อยากเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ไกลบ้าน ไม่อยากห่างครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง เจ้าตูบเจ้าด่างก็ว่ากันไปเพราะคิดว่าถ้าไปไกลต้องเป็นโรค Homesick แน่นอน  แต่บางคนกลับให้เหตุผลที่ซิ่วเป็นเพราะว่ามหาวิทยาลัยที่ได้ยังไม่มีชื่อเสียงพอ ต้องเข้ามหาวิทยาลัยที่เป็นอันดับหนึ่งหรือติดท็อปไฟว์ของประเทศไทยให้ได้ ทุกคนมีศักดิ์และศรีเท่ากันหมด การที่ดูถูกคนอื่นมันก็คือความคิดที่ไม่เป็นมิตร และอาจจะนำไปสู่แรงกดดันตัวเองมากเกินไป สุดท้ายก็จะสอบไม่ติดที่ไหนเลยก็เป็นได้นะ

   
สอบตรงก็ไม่ได้ แอดมิชชั่นก็ไม่ได้ รอบหลังแอดฯ ก็อดอีก

   เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราคงกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราสามารถทำอนาคตให้ดีขึ้นได้ มีหลายทางให้เลือกเลยค่ะ บางคนก็ไปเรียนม.รัฐที่เป็น ม.เปิด บางคนก็เรียนม.เอกชนรอไปก่อน บางคนก็เข้าคอร์สเรียนพิเศษเตรียมตัวกับการสอบรอบใหม่ หรือบางคนก็อยู่บ้านอ่านหนังสือเอง! เลือกได้หลายวิธีเลยค่ะ พี่แป้ง อยากบอกว่าการที่เราไม่ติดที่ไหนเลยไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีศักยภาพ?อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ขอให้แล้วไป ขอให้น้องๆ อ่านหนังสือ สะสมความรู้ไปเรื่อยๆ ยังไงก็ต้องประสอบความสำเร็จ  เชื่อว่าถ้าคนหัวดีแต่ไม่ขยันยังไงก็แพ้คนหัวไม่ดีที่ขยัน

ครอบครัวกดดัน ยังไงก็ต้องเปลี่ยน

อุตส่าห์ได้คณะที่อยากเรียน มหาวิทยาลัยในฝันทันที?? แต่ว่าครอบครัวไม่ยอมรับซะนี่!!!!!? ยังไงเราก็ต้องซิ่วออกมา เราเป็นคนเรียน แต่ว่าที่บ้านเป็นคนจ่ายเงิน ยังไม่ปีกกล้าขาแข็งพอที่จะหาเงินเรียนเองนิ ส่วนเหตุผลที่บ้านอยากให้ซิ่วอาจจะเป็นเพราะว่า จบไปจะทำงานอะไร เรียนหนัก เหนื่อย ดูไม่มีอนาคต ค่าเทอมแพง ไกลบ้าน หรืออื่นๆ อีกหลายเหตุผล   อยากจะให้ลองทำความเข้าใจกับที่บ้าน?ชี้แจงเหตุผลกันไปเลย?สมมติว่าถ้าถามว่าจบไปทำงานอะไร เราก็ต้องหาข้อมูลให้ได้ว่ามีงานอะไรทำได้บ้าง หรือเราเรียนตั้งใจทำงานอะไร พ่อแม่บางคนบอกว่าอาจจะส่งไม่ไหวนะ เราก็ทำเรื่องกู้กยศ.เลย อย่างน้อยแบ่งเบาภาระได้บ้างก็ยังดี ถ้ากู้ไม่ได้ก็ต้องพยายามประหยัดที่สุด หรือหาทางออกที่ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าประชดประชันพ่อแม่นะคะ เพราะถึงแม้จะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกค่ะที่อยากเห็นลูกตัวเองลำบากในอนาคต หรือไม่รักลูกตัวเอง


 เรียนมาตั้งนาน เพื่อนก็ไม่มี คุยกับใครก็ไม่มีใครอยากคุย

อันนี้ไม่รู้จะเป็นปัญหา หรือเหตุผลดี แต่ พี่แป้ง ว่ามันเป็นเหตุผลหนึ่งเลยนะที่ตัดสินใจที่จะซิ่ว คือได้คณะที่ชอบ มหาวิทยาลัยที่ใช่ แต่ไม่มีความสุข รู้สึกว่าแตกต่างจากคนอื่นทั่งๆ ที่ก็ห่างกันแค่รุ่นเดียวเอง มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนว่า?อยู่ตัวคนเดียว?อยากให้คนอื่นยอมรับเรา เข้าหาก็แล้ว ชวนคุยก็แล้วทำไมถึงยังไม่รู้สึกว่ามีเพื่อนสักทีละ หรือบางคนบอกว่าเราก็เป็นเพียงเด็กบ้านนอกคนนึงมาเรียนที่เมืองกรุงรู้สึกว่าสังคมมันแตกต่าง มีแต่ความฉาบฉวย ใส่หน้ากากเข้าหากัน ไม่อยากอยู่แล้ว
 มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เป็นแบบนี้ การที่เรียนคนเดียวในมหาวิทยาลัยที่กว้างขนาดนี้ทำให้รู้สึกว้าเหว่ ถ้าจะเริ่มแก้ก็ต้องเริ่มที่ตัวเราเองนั่นแหละค่ะ ไม่ได้หมายความว่าต้องทำตัวให้เหมือนคนอื่นเพื่อให้คนอื่นยอมรับนะ แต่ว่าต้องเข้มแข็งให้คนอื่นเห็นว่าเราก็ไม่ได้อ่อนแอนะ 

ถ้าจะเรียนยากขนาดนี้ ซิ่วให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
 เหตุผลนี้เรียกง่า ๆ ว่าเรียนไม่ไหวนั่นเอง?เข้าไปเรียนแล้วเพื่อนก็โอเคนะ บรรยากาศก็อยากเรียน แต่เนื้อหาวิชามันยากเกินกว่าจะเข้าใจนี่หน่า หวั่นวิตกว่าจะไม่จบง่ายๆ นะซิ ซิ่วไปหาที่เรียนที่ง่ายกว่านี้ดีกว่า อยากให้เลือกวิธีที่จะซิ่วเป็นทางสุดท้าย ไม่ได้ห้ามนะ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่อยากเรียนมันจะมีแรงบันดาลใจบางอย่างที่ทำให้เรามีความกระตือรือร้นที่จะเรียน ลองให้เพื่อนช่วยสอนให้ ไปติวกับเพื่อนดูก่อนนะ บางทีอาจจะยากเฉพาะวิชาที่เราไม่ถนัดก็ได้ ไม่มีใครถนัดไปซะทุกด้านหรอก เอาไว้แบบว่าไม่ไหวจริงๆ เกรดหวิดโดนรีไทร์แน่ๆ ค่อยซิ่วออกมานะคะ พยายามเต็มที่ สู้ตาย (ชูสองนิ้วให้เลย)


 เพราะไม่รู้ว่าชอบแบบไหน เลยยังไปต่อไม่ได้สักที

ง่ายก็คือ ตอนนี้กำลังเคว้งคว้างนั่นเอง จะไปทางไหนดี เราถนัดทางไหน เรียนอะไรที่คิดว่าสามารถเรียนได้โดยมีความสุขด้วย ขอหยุดสักปีค้นหาตัวเองก่อนดีกว่า เฮ้อ เหตุผลนี้เป็นเหตุผลที่หาทางออกยากนะ?แนะนำให้เราถามตัวเองว่า??ทำไม?? ให้ลองพยายามหาคำตอบด้วยนะคะ เพราะเราอาจจะได้คำตอบก็ได้ ก็ดีกว่าถามแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นคำถามอยู่อย่างนั้น เราก็จะไม่มีวันหาตัวเองเจอหรอกค่ะ

                                                        ที่มา   http://m.eduzones.com/content.php?id=162255



สาเหตุที่ทำให้เด็กสอบได้คณะที่ไม่ชอบ เกิดปัญหาเด็กซิ่ว



     ปัญหาที่ตามมาอีกประการคือเด็กสอบได้ แต่เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วเรียนไม่ได้ โดยส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าสอบติดในคณะที่ไม่ชอบ ซึ่งอาจารย์อนุสรณ์กล่าวถึงที่มาว่า มีสาเหตุมาจาก 

สาเหตุแรก คือ  การออกแบบระบบการศึกษา แบบระบบสอบกลาง (Admission) เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของไทยนั้น ไม่มีการวางแผน ตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งมีเวลาเพียงพอให้เด็กเลือกเรียนในสิ่งที่ตรงกับความชอบ และความถนัด เป็นเป้าหมาย เช่น เด็ก ม.3 จะต้องรู้ว่าตนเองมีความถนัดในสาขาวิชาไหน และในอนาคตอยากทำสายอาชีพอะไร หรือเมื่อจบ ม.6 อยากศึกษาในคณะอะไร และมหาวิทยาลัยใด 

สาเหตุที่สอง คือ เด็กบางคนไม่รู้จักตนเอง หรือยังไม่ค้นพบตนเอง จึงเลือกที่จะตามกระแส หรือบางคนเห็นว่าตัวเองเป็นคนเรียนดีก็สอบเข้าศึกษาในคณะที่เป็นที่นิยมตามเพื่อนไป เช่น แพทยศาสตร์ แต่เมื่อเรียนเแพทย์ไปสักระยะก็เปลี่ยนความคิด ออกมาสอบคณะวิศวะ หรือในทางกลับกันเรียนวิศวะก็ออกมาเรียนแพทย์ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นเด็กเก่งจะเรียนอะไรก็ได้แต่ในวันที่เลือกนั้นยังไม่ค้นพบตนเอง
วันนี้กระแสของแพทย์มาเป็นอันดับ 1 ร้อยละ 80% เด็กเก่งมีความพร้อมสูง จะมุ่งไปที่การเรียนแพทย์เพราะเป็นอาชีพที่มีรายได้ดี ส่วนที่พุ่งเป้าไปที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ในปัจจุบันนั้นกระแสลดลง เป็นเพราะตลาดงานวิศวะเริ่มแคบ และจำกัด คนที่เก่งจริงจึงจะได้งาน ในขณะที่แพทย์เรียนจบไม่มีคำว่าตกงาน และยังเป็นอาชีพที่ขาดแคลนบุคลากรอยู่มาก ซึ่งมีสถิติและงานวิจัยชี้ว่า คณะที่มีเด็กซิ่วเป็นอันดับหนึ่ง คือ คณะวิทยาศาสตร์ เพราะเมื่อสอบเข้าแพทย์ไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ ก็จะย้อนกลับไปซิ่วใหม่เพื่อเรียนแพทย์ให้ได้

สาเหตุที่สาม คือ ผู้ปกครองเป็นผู้กำหนด สิ่งที่เด็กอยากเรียนกับสิ่งที่พ่อแม่อยากได้คนละเรื่องกัน จะพบในกรณีเช่น เด็กสอบเข้าวิศวะคะแนนดีได้เป็นเบอร์ต้นๆ ของคณะ แต่ในปีต่อมาก็ลาออก ซิ่วไปสอบเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ได้อันดับ 1 จนเรียนจบได้เกียรตินิยมเหรียญทอง ทราบที่มาว่าปีที่แล้วสอบให้พ่อแม่ ปีนี้จึงสอบที่ตัวเองอยากเรียน
หลักสูตรการเรียนการสอนในบ้านเราไม่มีการฝึกเด็กให้ใช้ดุลพินิจ วิเคราะห์อย่างเป็นเหตุเป็นผล เด็กไปตามกระแส ก่อนหน้านี้คณะวิศวะดัง ปัจจุบันเป็นกระแสของแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องของวิชาชีพ รายได้ที่ดี และการยอมรับในสังคม สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กไม่ได้ค้นพบตัวเองว่าต้องการอะไร จึงเป็นหน้าที่ของระบบและครูที่ต้องแนะแนวให้เด็กมีความพร้อม เพื่อค้นพบตัวเองตั้งแต่ ม.3” อาจารย์อนุสรณ์กล่าว


กรณีศึกษาแอดมิชชั่นของประเทศอังกฤษ
อาจารย์อนุสรณ์กล่าวถึงโมเดลที่ประสบความสำเร็จ คือ ระบบกลางคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของประเทศอังกฤษ ซึ่งเด็กไม่ต้องสอบคัดเลือกใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นหน้าที่ของโรงเรียนระดับไฮสคูลที่จะต้องสอนและวัดผลการศึกษาของเด็ก ด้วยศักยภาพที่มีทำให้โรงเรียนที่มีคุณภาพในการสอนสูงจะมีการจัดอันดับ และยังสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่า เมื่อถึงเวลาที่เด็กจะต้องทำข้อสอบส่วนกลางนั้นเด็กจะได้รับเกรดอะไร และโดยทั่วไปโรงเรียนที่มีคุณภาพในการสอนสูงจะได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับท็อป ซึ่งทุกอย่างชัดเจนด้วยสถิติ  ส่วนมหาวิทยาลัยนั้น จะมีบทบาทในการสอบแอดมิชชั่น โดยหลังจากผ่านขั้นตอนที่เด็กส่งประวัติ ที่ประกอบด้วยคะแนนของโรงเรียน คอมเมนต์ความประพฤติ ความเด่นในแต่ละวิชา และการร่วมกิจกรรมอาสาสมัคร ไปยื่นต่อมหาวิทยาลัยที่ต้องการจะเข้าเรียนต่อแล้ว มหาวิทยาลัยจะคัดเลือกจากข้อมูลแล้วเรียกสัมภาษณ์  ซึ่งที่อังกฤษจะให้ความสำคัญกับการสัมภาษณ์มาก และหากผลลัพธ์การสัมภาษณ์สรุปความเห็นว่าหน่วยก้านดีพูดจาโต้ตอบฉะฉาน มีไหวพริบก็จะตกลงรับ ดังนั้นแต้มต่อจะอยู่ที่การสอบสัมภาษณ์ ซึ่งมาจากโรงเรียนเกรดใด ไม่ใช่ประเด็นสำคัญประการแรก ที่ผ่านมามีเด็กไทยหลายคนผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์ของมหาวิทยาลัยแล้วได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ออกซ์ฟอร์ด โดยเมื่อสัมภาษณ์เสร็จแล้วก่อนจะตกลงรับเข้าเรียน ต้องผ่านการสอบวัดผลข้อสอบกลาง ซึ่งมี 2 มาตรฐาน คือ ข้อสอบออกซ์บริดจ์ที่สอบโดยอาจารย์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดกับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ขึ้นอยู่กับแต่ละโซนของประเทศจะเลือก หากสอบได้เกรด A 3 ตัวก็จะได้รับเลือกให้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยทันที
สำหรับคนที่จะเรียนต่อแพทย์ ผลการเรียนด้านวิชาชีวะและวิชาเคมีต้องอยู่ในระดับ Excellence เด็กต้องมีการเรียนวิชาพื้นฐานหลักมาก่อน หรือคนที่เรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์ ต้องเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ วิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูง และได้คะแนนระดับเกรด A เด็กที่จะเรียนต่อทางด้านไหนจึงต้องมีการเตรียมตัวเรียนวิชาพื้นฐานสำหรับระดับมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเองจะเรียกสัมภาษณ์ โดยคัดเลือกจากประวัติ   รวมทั้งผลการเรียนที่สำคัญๆ แล้วเขียนเป็นเรียงความ ซึ่งเมื่อมหาวิทยาลัยได้ข้อมูลและผ่านการกลั่นกรองเป็นตัวหลักได้แล้ว เมื่อจะสอบเข้าคณะไหนก็ต้องสอบ SAT ที่ถือว่าเป็นมาตรฐานอย่างหนึ่งที่คนทั่วโลกยอมรับและนำส่งคะแนน SAT ไปที่ส่วนกลาง หลังจากนั้นจึงจะได้การตอบรับเข้าเรียนจากทางมหาวิทยาลัย ซึ่งโมเดลนี้มองว่าจะทำให้เด็กไม่เครียด และวางแผนพุ่งเป้าไปข้างหน้าได้
    ทั้งนี้ประเทศไทยไม่จำเป็นต้องนำโมเดลของประเทศอังกฤษมาใช้ทั้ง 100% แต่อาจจะนำบางแนวทางมาปรับใช้ เพราะถ้าใช้ทั้งหมดอาจไม่เหมาะกับประเทศไทย แอดมิชชั่นของไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะไม่ได้เด็กตามคุณสมบัติที่ต้องการ จึงทำให้บางมหาวิทยาลัยมีการเปิดคัดเลือกเพิ่มเติมขึ้นมาเองด้วย
ระบบการศึกษาของประเทศไทย ที่เกิดจากความไม่ลงตัว การเหลื่อมล้ำของเวลากันในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และการเรียนนั้น ส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาของเด็กให้ด้อยลงไป เพราะนำไปสู่ปัญหาที่เมื่อเด็กเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้แล้ว ก็เรียนไม่ได้ต้องออกมาซิ่ว ขณะที่คนที่มีความพร้อมสูงกว่าจะมีโอกาสในการเตรียมตัวได้ดีกว่า
ที่ผ่านมานั้น นโยบายทางการศึกษาในทุกสมัยของไทย ฝ่ายการเมืองเป็นผู้กำหนด และออกมาเป็นกึ่งๆ ประชานิยมด้วยแนวคิดที่บอกว่า ผู้เรียนประสงค์จะเรียนอะไรต้องได้เรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริหารต้องให้เด็กเรียนต่อทั้งๆ ที่เด็กเรียนต่อทางสายสามัญไม่ไหว จากผลผลิตนี้มาจนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่า คนที่เรียนสายสามัญจนจบปริญญาตรีออกมาแล้วไม่มีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การปรับเปลี่ยนโดยรื้อการศึกษาใหม่ทั้งระบบ สำหรับกระทรวงศึกษาธิการ ในยุครัฐบาลนี้ที่มีอำนาจเต็มมือจึงไม่ใช่เรื่องยาก สามารถเปลี่ยนได้ทันที อาจารย์อนุสรณ์กล่าว





                       
ที่มา  http://m.manager.co.th/SpecialScoop/detail/9580000130145


“จะไปค่ายดีมั้ย? ไปค่ายแล้วได้อะไรล่ะ?”




1. ได้เพื่อน

แน่นอนว่าเราต้องได้เพื่อน แต่ไม่ใช่เพื่อนธรรมดานะ เป็นเพื่อนที่สนใจคณะเดียวกันกับน้อง ไม่ก็สนใจด้านเดียวกัน เช่นไปค่ายคอมฯ ก็ได้เจอเพื่อนที่สนใจในด้านคอมพิวเตอร์ด้วยกัน ทำให้เวลามีอะไรเกี่ยวกับด้านนี้ เราสามารถคุยกับเพื่อนคนนี้ได้น้า เพราะว่าถ้าเราไปคุยกับคนอื่นเขาอาจจะไม่รู้เรื่องกับเราก็ได้เนอะ


 2. ได้รู้ตัวเองว่าอยากเข้าคณะอะไร

   ข้อนี้สำคัญสุดเลยเพราะว่าบางทีเราอาจจะคิดว่าคณะนี้แหละใช่สำหรับเรา แต่เราพอไปลองเข้าค่ายจริงๆ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้น้า บางคนไม่รู้ว่าอยากเข้าคณะอะไร แต่ลองเข้าค่ายไปหลายๆ ค่ายน้องอาจจะค้นพบตัวว่าตัวเองชอบอะไรก็ได้น้า พี่บอกเลยยิ่งเราค้นพบตัวเองว่าชอบอะไรก่อน ก็ยิ่งได้เปรียบสุดๆ


 3. ได้รู้บรรยากาศภายในคณะ / มหาลัยนั้นๆ

แน่นอนเราจะได้สัมผัสบรรยากาศของการอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยก่อนใครๆ และได้รับรู้บรรยากาศของรุ่นพี่ในคณะ ว่าคณะนี้มีความอบอุ่นมากเพียงใด ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เราจะเลือกเรียนต่อในคณะหรือมหาวิทยาลัยนั้นๆ


 4. ได้ความรู้ที่ค่ายมอบให้

ไปค่ายมหาลัยแน่นอนน้องต้องได้เรียน แต่จะเป็นวิชาอะไรก็แล้วแต่ทางค่ายนั้นจะเป็นคนเลือกมาให้น้องๆ เรียนการเรียนนี่แหละมันจะทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้วคณะนี้มันใช่สำหรับเรารึเปล่า แต่บางค่ายก็มีการติวเข้ามหาลัยด้วยน้า อาจจะเป็นการทบทวนเนื้อหาของม.ปลายของเรา ยังไงก็แล้วแต่เรารับความรู้มาไว้ก่อน พอถึงเวลาที่เราต้องใช้มันเราก็ได้นึกว่า อ๋อ! พี่ค่ายนี้สอนเรามานี่หว่า


  5. ได้รับมิตรภาพที่ทุกคนเต็มใจมาอยู่ด้วยกัน

ในระยะของวันค่ายบางคนก็คิดถึงบ้านบ้างแหละ บางคนก็คิดถึงพี่แม่น้อง คิดถึงแฟน หรือคิดถึงน้องหมาแมวที่บ้าน แต่น้องไม่ต้องเสียใจไปนะ น้องๆ ยังมีเพื่อนที่มาอยู่ค่ายด้วยกัน ที่น้องๆ สามารถพูดคุยกับเพื่อนให้หายเหงาก็ได้นะ เผลอๆ น้องอาจจะได้เพื่อนสนิทต่างโรงเรียนเลยก็ได้นะครับ

 

 

 


                                           ที่มา  http://www.camphub.in.th/camptrick-why-wegotocamp/

5 อุปสรรคเรื่องเรียน ที่เป็นกับดักของเด็กยุคนี้




1. เรียนตามเพื่อนหรือตามกระแส 

       
มีเด็กจำนวนมากเด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบไม่ชอบอะไร ไม่รู้เป้าหมายในชีวิต ฉะนั้นช่วงที่ต้องมีการเลือกแผนการศึกษา เด็กเหล่านี้จึงเลือกเรียนตามเพื่อน ตามกระแสสังคม ตามคำบอกของครู ตามคำปลูกฝังของพ่อแม่ เช่น เรียนให้เก่งจะได้ไปเป็นหมอ วิศวะ หรือไม่ก็ถูกปลูกฝังให้เลือกเรียนแผนวิทย์ - คณิต ไว้ก่อนด้วยเหตุผล เพราะมีทางเลือกเยอะ ทั้งที่เด็กอาจไม่ชอบ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เรียนในสิ่งที่ถนัดหรือที่ชอบ เมื่อเรียนจบออกมา เด็กจำพวกนี้มักจะเปลี่ยนสายงานไปเรื่อยๆ และไม่ได้ทำงานในสายที่ตัวเองจบมา




       
  2. 
เรียนสาขาที่อยากได้เงินเยอะ 

       
นี่เป็นอีกปัญหาใหญ่ที่เด็กๆ ทุกยุคทุกสมัยถูกปลูกฝังจากพ่อแม่ผู้ปกครองให้เลือกเรียนตั้งแต่แยกแผนการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา เพื่อเตรียมการสำหรับเอ็นทรานส์เข้ามหาวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายให้เลือกคณะที่มีโอกาสสร้างรายได้จำนวนมาก เรียกว่าเลือกเพราะเงินมากกว่าเลือกเพราะตัวเองถนัดหรือชอบ สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าจะได้เงินดีเหมือนที่ตั้งเป้าไว้หรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่มักคิดคล้ายๆ กัน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นกระแส เช่น แห่กันเข้าคณะใดคณะหนึ่งจำนวนมาก และสุดท้ายก็ต้องไปแย่งงานกันจำนวนมากเมื่อจบไปแล้วอยู่ดี






3.เรียนกวดวิชาอย่างหนัก 

       
พ่อแม่ทุกคนมักคาดหวังให้ลูกเรียนสูงๆ สอบติดมหาวิทยาลัยดังๆ โดยเห็นว่าความรู้ที่ลูกได้จากรั้วโรงเรียนไม่เพียงพอ ระบบการศึกษาโรงเรียนไม่ได้ให้ความมั่นใจกับพ่อแม่และผู้คนในสังคม เมื่อพ่อแม่แทบทุกคนอยากให้ลูกเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ย่อมอยากให้ลูกเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่มีชื่อเสียงก่อน บางคนเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษาหรือระดับอนุบาล จึงมีพ่อแม่จำนวนมากส่งให้ลูกเรียนพิเศษกับโรงเรียนกวดวิชาดังๆ แม้จะแพงแสนแพงแต่ก็ยอมหาเงินมาให้ลูกเรียนพิเศษให้ได้ เพราะหวังว่าจะทำให้ลูกเรียนดี เรียกว่าระห่ำเรียนกวดวิชาตั้งแต่เล็กจนโต เรียนทั้งวันธรรมดาและวันหยุด หรือแม้กระทั่งช่วงปิดเทอม เด็กๆ ก็เรียนรู้ว่าต้องเรียน และต้องเรียน





       
  4.เรียนในชั้นเรียนไม่เข้าใจ 

       
ปัญหานี้มีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ระหว่างเด็กไม่ตั้งใจเรียน หรือครูไม่มีเทคนิคการเรียนการสอนที่ดี ก็เป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์มายาวนาน และก็ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังและถูกวิธี สุดท้ายเมื่อเด็กเรียนในชั้นไม่เข้าใจ ก็ต้องไปกวดวิชาอยู่ดี อีกประเด็นปัญหาหนึ่งก็คือ ปัญหาเรื่องบุคลากรทางการศึกษาในบ้านเรายังขาดแคลนคุณภาพอยู่มาก มีภาพสะท้อนจากเด็กว่าทำไมครูสอนในห้องเรียนไม่รู้เรื่อง แต่กลับสอนพิเศษรู้เรื่อง ทำไมครูไม่หาวิธีการสอนที่สนุก ทำไมเวลาสอนต้องอ่านตามหนังสือ ฯลฯ สรุปก็คือไม่สามารถทำให้เด็กมีความสุขกับการเรียน








       
      5. 
เรียนเพื่อสอบไม่ใช่เพื่อรู้

       
การเรียนการสอนในบ้านเรายังเป็นรูปแบบเรียนเพื่อสอบมากกว่าเรียนเพื่อความรู้ เชื่อหรือไม่เด็กไทยเรียนหนักมากที่สุดในโลก แต่ไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงได้ ทั้งนี้ เนื่องจากระบบการศึกษาไม่ได้ตอบสนองต่อการนำความรู้ที่ได้ไปตอบโจทย์การทำงานจริงในอนาคต แต่กลับเน้นการวัดผลคะแนนและการสอบเป็นหลัก จนมีเสียงสะท้อนเกี่ยวกับการศึกษาจากผู้บริหารชั้นนำของไทยที่รับเด็กเข้าทำงาน พบว่าเด็กไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถในแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีสอนในตำราเรียนนั่นเอง
       
อุปสรรคต่างๆ ในระบบเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ทำให้เด็กๆ ขาดทักษะชีวิตในการเรียนรู้จักตัวเอง ไม่สามารถค้นหาความถนัดและความสามารถของตัวเองว่าทำสิ่งใดได้ดี




ที่มา  http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9580000034566

เลือกคณะที่ใช่ จากวิชาที่ชอบ






กลุ่มวิชาภาษา

  กลุ่มที่ 1 คนที่ชอบเฉพาะวิชาภาษา
(ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาต่างประเทศ ภาษาต่างประเทศอื่นๆ อาทิ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศสรัสเซีย)

-คณะอักษรศาสตร์      สาขาวิชาที่เกี่ยวกับภาษา
-คณะมนุษยศาสตร์     สาขาวิชาที่เกี่ยวกับภาษา
-คณะโบราณคดี          สาขาวิชาที่เกี่ยวกับภาษา

  กลุ่มที่2 คนที่ฃอบวิชาภาษา+สังคมศึกษา
-คณะนิติศาสตร์
-คณะรัฐศาสตร์  สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
-คณะมนุษยศาสตร์  สาขาปรัชญาชีวิต และศาสนา   สาขาการท่องเที่ยว สาขาวิชาการสื่อสาร มวลชน สาขาสารสนเทศศาตร์ สาขาพัฒนาสังคม
-คณะอักษรศาสตร์  สาขาภูมิศาสตร์และภูมิสารสนเทศ
-คณะเศรษฐศาสตร์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ
-คณะจิตวิทยา สาขาจิตวิทยาชุมชน สาขาจิตวิทยาคลินิก สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษา
  กลุ่มที่3 คนที่ชอบวิชาภาษา+คณิตศาสตร์+คอมพิวเตอร์
-คณะบรรณารักษ์ศาสตร์  สาขาบรรณารักษ์ศาสตร์ และสารสนเทศศาสตร์

กลุ่มวิชาสังคมศึกษา
  กลุ่มที่1 คนที่ฃอบหน้าที่พลเมือง
-คณะนิติศาสตร์
-คณะรัฐศาสตร์  สาขาวิชาการปกครอง สาขาวิชาสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คณะสังคมศาสตร์  สาขาวิชารัฐศาตร์-การปกครอง สาขาวิชารัฐศาตร์-รัฐประศาสนศาสตร์

 กลุ่มที่2 คนที่ขอบวิชาศาสนา
-วิทยาลัยศาสนศึกษา

กลุ่มที่3 คนที่ชอบวิชาเศรษฐศาสตร์
-คณะบริหารธุระกิจ สาขาการจัดการผลิต สาขาการจัดการโลจิสติกระหว่างประเทศ
 สาขาวิชาการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

กลุ่มที่4 คนที่ชอบวิชาเศรษฐศาสตร์+คอมพิวเตอร์
-คณะบริหารธุระกิจ สาขาระบบสนเทศทางการจัดการ(คอมพิวเตอร์ธุรกิจ)

 กลุ่มที่5 คนที่ขอบประวัติศาสตร์
-คณะสังคมสงเคราะห์
-คณะโบราณคดี สาขาโบราณคดี สาขาประวัติศาสตร์ศิลปะ สาขาวิชามนุษยวิทยา
-คณะสังคมศาสตร์ สาขาวิชาสังคมศาสตร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์

กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์
กลุ่มที่1 คนที่ชอบเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์
-คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี  สาขาวิชาการตรวจสอบบัญชีและการตรวจสอบภายใน
สาขาวิชาการบัญชีบริหาร สาขาวิชาการธนาคารและการเงิน สาขาวิชาสถิติคณิตศาสตร์

กลุ่มที่2   คนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์+คอมพิวเตอร์
-คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี       สาขาระบบสารสนเทศทางการจัดการ   สาขาวิชาระบบสารสนเทศทางการบัญชี   สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อะธุรกิจ สาขาวิชาสถิติประยุกต๋์

กลุ่มที่3 คนที่ชอบคณิตศาสตร์+สังคม
-คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการเพื่อผู้ประกอบการธุระกิจ  สาขาวิชาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ
-คณะรัฐศาสตร์    สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์(บริหารรัฐกิจ)
-คณะเศรษฐศาสตร์   สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การคลัง  สาขาเศรษฐศาสตร์การเงิน สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์พัฒนาการ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์แรงงานและทรัพยากรมนุษย์

กลุ่มที่4 คนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์+เคมี
-คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาเคมี สาขาวิชาวิศวกรรมวัสดุ

กลุ่มที่5 คนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์+ชีววิทยา
-คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม

กลุ่มที่6 คนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์+ฟิสิกส์
-คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า สาขาวิศวกรรมไฟฟ้าเครื่องกลการผลิต สาขาวิศวกรรมเครื่องกล สาขาวิศวกรรมโยธา สาขาวิศวกรรมอุตสาหกรรม

กลุ่มที่7 คนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์+ฟิสิกส์+คอมพิวเตอร์
-คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ สาขาวิศวกรรมซอฟแวร์และความรู้
-คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ      สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์        สาขาระบบอิเล็กทรอนิกส์           สาขาวิศวกรรมซอฟแวร์

กลุ่มที่8 คนที่ชอบวิชาคณิตศาสตร์+วิทยาศาสตร์+ศิลปะ
-คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์   สาขาวิชาการออกแบบอุตสาหกรรม  สาขาวิชาภูมิสถาปัตยกรรมศาสตร์
สาขาวิชาการวางแผนภาคและเมืองหรือสาขาการออกแบบและวางผังชุมชนเมือง

  กลุ่มวิชาวิทยศาสตร์
กลุ่มที่1 คนที่ชอบวิชาดาราศาสตร์
-คณะวิทยาศาสตร์  สาขาวิชาฟิกส์  สาขาวิชาฟิกส์ดาราศาสตร์

กลุ่มที่2 คนที่ชอบวิชาฟิสิกส์
-คณะวิทยาศาสตร์  สาขาวิชาฟิกส์  สาขาวิชาธรณีวิทยา

กลุ่มที่3 คนที่ชอบวิชาเคมี 
-คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรม
-คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมี   สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรม
-คณะเทคนิคการแพทย์

กลุ่มที่4 คนที่ชอบชีววิทยา
-คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาพฤกษศาสตร์  สาขาวิชาสัตววิทยา  สาขาวิชาพันธุศาสตร์  สาขาวิชาการจุลชีววิทยา  สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพรังสี
-คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์  สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม สาขาวิทยาศาสตร์ทางทะเล สาขาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ

กลุ่มที่5คนที่ชอบวิชาฟิสิกส์+คอมพิวเตอร์
-คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์
-คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์
-คณะวิทยาศาสตร์ประยุกต์ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์

กลุ่มที่6 คนที่ชอบวิชาเคมี+ชีววิทยา+ศิลปะ
-คณะเภส้ชศาสตร์
-คณะทันตแพทยสาสตร์

กลุ่มที่7คนที่ชอบวิชาเคมี+ชีววิทยา+สุขศึกษา
-คณะกายภาพบำบัด
-คณะสหเวชศาสตร์

กลุ่มที่8 คนที่ชอบวิชาเคมี+ชีววิทยา+ภาษาอังกฤษ
-คณะแพทยศาสตร์
-คณะทันตแพทยสาสตร์
-คณะเภส้ชศาสตร์  สาขาวิชาการเภสัชพฤกษศาสตร์
-คณะสัตวแพทย์
-คณะพยาบาลศาสตร์

 กลุ่มที่9 คนที่ชอบวิชาเคมี+ชีววิทยา+ภาษาอังกฤษ+การงานอาชีพและเทคโนโลยี
-คณะทันตแพทยสาสตร์
-คณะเภส้ชศาสตร์  สาขาสารสนเทศทางสุขภาพ
-คณะเกษตร สาขาวิชาเคมีการเกษตร

 กลุ่มที่10 คนที่ชอบวิชาเคมี+ชีววิทยา+ภาษาอังกฤษ+คอมพิวเตอร์
-คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล  สาขาวิชาการเทคโนโลยีการศึกษาแพทยศาสตร์
-คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร     สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อระบบสุขภาพ
สาขาวิชาการจัดการจัดการระบบสารสนเทศ

 กลุ่มที่11 คนที่ชอบชีววิทยา+การงานอาชีพและเทคโนโลยี
-คณะวนศาสตร์  สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรป่าไม้  สาขาเทคโนโลยีวนศาสตร์ สาขาวิชาอุทยาน นันทนาการ และการท่องเที่ยว
-คณะประมง  สาขาวิฃาชีววิทยาประมง สาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์นำ้ สาขาวิชาการจัดการประมง
คณะเกษร สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการจัดการศัตรูพืชและสัตว์
-คณะสาธารสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อม  สาขาวิชาการจัดการสุขภาพชุมชน           สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม

กลุ่มที่12 คนที่ชอบชีววิทยา+คณิตศาตร์+สุขศึกษาและพลศึกษา
-คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา
-คณะสาธารสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อม สาขาวิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ

กลุ่มวิชาศิลปศาสตร์
กลุ่มที่1 คนที่ชอบเฉพาะวิชาศิลปะ
-คณะศิลปศาสตร์    สาขาวิชาการออกแบบแฟชั่นและสิ่งทอ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์  สาขานฤมิตสิลป์
-คณะจิตรกรรม ประติมากรรม  และภาพพิมพ์ สาขาวิชาทัศนศิลป์

วิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี

 กลุ่มที่1คนที่ชอบเฉพาะวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี
 -คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์(อาหารและโภชนาการ)  สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์(สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม)

 กลุ่มที่2 คนที่ชอบวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี+ภาษา
-คณะมนุษศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว  
-คณะการการท่องเที่ยวและการโรงแรม

 กลุ่มที่3 คนที่ชอบวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี+ศิลปะ
 -คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์   สาขาสถาปัตยกรรมภายใน(มัณฑนศิลป์)  สาขาวิชาการออกแบบ
นิเทศศิลป์  สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์  สาขาวิชาการออกแบบสิ่งทอ
 -คณะเทคโนโลยีมีเดียและศิลป์ประยุกต์  สาขามีเดยอาร์ต สาขาวิชาเทคโนโลยีมีเดียประยุกต์
-คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี  สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ประยุกต์มัลติมิเดีย

กลุ่มวิชาดนตรี
 กลุ่มที่1 คนที่ชอบเฉพาะวิชาดนตรี
-คณะศิลปศาสตร์  สาขาวิชาดุริยางคศิลป์
-คณะดุริยางคศิลป์สาขาดุริยางคศิลป์ไทย  สาขาดุริยางคศิลป์ตะวันตก

กลุ่มวิชานาฎศิลป์
-คณะนิเทศศาสตร์  สาขาวิชาศิลปะการแสดง
-คณะศิลปศาสตร์    สาขาวิชานาฎศิลป์



                                                                         ที่มา     http://www.dek-d.com/admission/38355/